“น้องพล” เด็กชายชนเผ่าลาหู่วัย 7 ปี จากจังหวัดเชียงราย ป่วยเป็นโรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) มาตั้งแต่เล็ก ทั้งตัวจึงเต็มไปด้วยผื่นแดง สะเก็ด และแผลที่เกิดจากความผิดปกติของภูมิคุ้มกันในร่างกายที่ส่งผลให้เกิดการแบ่งตัวที่ผิดปกติของเซลล์ผิวหนัง “น้องพล” ต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะอดทนต่ออาการคันที่เกิดขึ้นตลอดเวลา เพราะหากเมื่อใดเผลอเกาก็จะเกิดการอักเสบบริเวณผิวหนัง ทำให้รู้สึกปวดแสบปวดร้อน และนั่นทำให้น้องยิ่งต้องเจ็บปวดมากขึ้น
แม่ของ “น้องพล” เล่าทั้งน้ำตาว่าน้องพลร้องไห้ทุกวัน วันละหลาย ๆ ครั้งขอให้แม่ช่วย น้องบอกว่าน้องเจ็บ แม่เองก็ไม่รู้จะช่วยเหลือน้องได้อย่างไร
ครอบครัว “น้องพล” อาศัยอยู่บนเขาห่างจากตัวเมืองจังหวัดเชียงรายราว 80 กิโลเมตร ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางไป - กลับไม่น้อยกว่า 2-3 ชั่วโมงต่อเที่ยวการเดินทางทุกครั้งจึงต้องเช่าเหมารถเท่านั้น ทำให้การพาน้องเดินทางไปหาหมอในตัวเมืองแต่ละครั้งต้องใช้เวลาและเงินจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับครอบครัวที่มีรายได้หลักจากการรับจ้างรายวัน ที่วันไหนไม่ไปทำงาน หมายถึงวันนั้นก็จะไม่มีรายได้มาจุนเจือครอบครัว ดังนั้น สิ่งที่แม่ทำได้เพียงการทำความสะอาดแผลบรรเทาอาการเจ็บของลูกให้เท่านั้น
“น้องเก้า” อายุ 9 ปี จากจังหวัดบุรีรัมย์ ที่ป่วยออด ๆ แอด ๆ มาตั้งแต่เกิดการรักษาเป็นไปตามอาการที่เกิดขึ้น จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้วแพทย์โรงพยาบาลจังหวัดบุรีรัมย์ ส่งน้องไปตรวจที่โรงพยาบาลจังหวัดนครราชสีมาพบว่า น้องเก้าป่วยเป็นโรคโปรตีนรั่ว จึงไม่สามารถกินอาหารได้เหมือนเด็กทั่วไปข้อห้ามของน้องเก้า คือ อาหารโปรตีนสูงเนื้อสัตว์ติดมัน อาหารที่มีรสชาติหวาน มัน เค็ม ในแต่ละวันต้องกินไข่ขาว 3 ฟอง เพื่อเพิ่มโปรตีน อาหารประเภททอดต้องใช้น้ำมันรำข้าวเท่านั้น
สำหรับครอบครัวที่ไม่มีอาหารกินครบ 3 มื้อต่อวัน การที่ต้องควบคุมคุณภาพอาหาร จึงนับเป็นเรื่องยากลำบาก ความหนักใจที่ตามมาของครอบครัว คือ ต้องพาน้องเก้าไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลที่ไกลจากที่บ้านกว่า 80 กิโลเมตร ทุกเดือน เดือนละ 3-4 วัน
“น้องนะโม” ป่วยเป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบ ทำให้ต้องใส่สายยางในสมองต่อลงไปในกระเพาะอาหารเพื่อให้มีออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงสมอง ตั้งแต่เด็ก ๆ แต่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2564 น้องนะโมป่วยต้องเข้าตรวจรักษาเช็คร่างกายอย่างละเอียดที่โรงพยาบาลหัวตะพานอีกครั้ง ผลตรวจพบว่าน้องป่วยเป็นเนื้องอกในสมอง (มะเร็งสมอง) ต้องถูกส่งตัวไปรักษาและรับการฉายแสงที่ศูนย์มะเร็งโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์จังหวัดอุบลราชธานี
ด้วยสถานการณ์โควิด พ่อ แม่ ของ น้องนะโม ถูกเลิกจ้างงานกลับมาอยู่บ้านขาดรายได้ ค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางไปรักษาที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จึงกลายเป็นปัญหาที่หนักยิ่งของครอบครัว
กองบุญกู้วิกฤติ เป็นกองบุญที่มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. เพื่อเด็กและเยาวชนฯ จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่เด็กด้อยโอกาสที่ชีวิตต้องประสบกับภาวะวิกฤติ มีความเป็นอยู่ยากลำบาก และไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตเช่นคนปกติทั่วไป เช่น ปัญหาด้านที่อยู่อาศัย สภาพร่างกายเจ็บป่วยหรือพิการ สภาพทางบ้านขาดคนดูแล ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เพื่อให้เด็กสามารถกลับคืนสู่ภาวะปกติหรือใกล้เคียงกับปกติมากที่สุด ปัจจุบันมูลนิธิฯ ได้ให้ความช่วยเหลือเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษแล้วกว่า 2,378 คน
มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. เพื่อเด็ก และเยาวชนฯ ต้องการเห็นชีวิตของเด็กทุกคนได้รับการพัฒนาที่ดีขึ้นไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ.ฯ จึงจัดโครงการกองบุญกู้วิกฤติเพื่อชีวิตเด็กยากไร้ที่อยู่ในภาวะยากลำบากมากและไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตได้ เช่น คนปกติทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่มีปัญหาซ้ำซ้อนหลายด้าน ทั้งปัญหาที่อยู่อาศัย สุขภาพร่างกายที่เจ็บป่วย พิการ หรือ ขาดผู้ดูแล ในปีที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ได้ให้ความช่วยเหลือเด็กจำนวน ทั้งหมด 118 คน แบ่งตามกลุ่มดังนี้
เด็กที่เจ็บป่วย พิการ
ต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง
เด็กอาศัยอยู่ตามลำพัง
กับผู้สูงอายุ
เด็กที่ต้องดูแลพ่อแม่
ที่เจ็บป่วย พิการ
บริจาค