“หนูอยากได้หม้อหุงข้าวใบใหม่” เมื่อได้ยินครั้งแรก หลายคนอาจสงสัยว่าเพียง “หม้อหุงข้าว” ทำไมถึงอยากได้มากถึงเพียงนี้ ก็เพราะว่าความมี ความจน ของแต่ละคนไม่เท่าเทียมกัน เมื่อของใช้พังเสียหายตามกาลเวลา แต่ไม่สามารถหาเงินมาซื้อใหม่ได้ ก็ต้องทนใช้เตาฟืนที่หุงข้าวได้ช้าและไม่ทันเวลาที่จะต้องไปโรงเรียน
“น้องฝน” นักเรียนชั้น ม.2 จังหวัดบุรีรัมย์ ต้องยอมทนหิวข้าวในบางวัน เพราะบ้านอยู่ไกลต้องเดินทางไปโรงเรียนใช้เวลานาน ข้าวสุกไม่ได้ทันเวลาเพราะต้องหุงหาด้วยเตาฟืน
พี่นวลฉวี เคยถาม “น้องฝน” ในวันที่ลงพื้นที่เยี่ยมครอบครัวเด็ก ซี.ซี.เอฟ. ว่า ถ้ามีโอกาสขอขวัญวันเกิดหนูอยากได้ของขวัญวันเกิดเป็นอะไร? คำตอบที่ได้ทำให้พี่นวลฉวีนิ่งเงียบไปสักพักใหญ่
“หนูอยากได้หม้อหุงข้าวให้แม่” น้องฝนตอบอย่างไม่ลังเลที่จะบอกพี่ๆ เจ้าหน้าที่ “แม่ไม่มีเงินพอซื้อค่ะ ถ้าแม่เอาเงินไปซื้อหม้อหุงข้าว แม่จะไม่มีเงินซื้ออาหารให้ยายกิน แม่รายได้น้อย มีอาชีพรับจ้างล้างถ้วยชาม งานแต่ง งานบวช และงานที่ว่าจ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น หม้อหุงข้าวใบเก่า พังมาสักใหญ่แล้ว บางวันถ้ารอกินข้าวเช้าจากที่บ้าน ก็จะได้กินทันบ้างไม่ทันบ้าง ก็ต้องทนหิวเอา”
ความฝันเป็นจริง ! เมื่อไม่นานมานี้น้องฝนได้หม้อหุงข้าวใบใหม่จากผู้ใหญ่ใจดีแล้ว ในวันนั้นเองพวกเราทุกคนได้เห็นรอยยิ้มของทุกคนในครอบครัวของน้องฝน นี่คือ “สิ่งเล็กๆ ที่เรามองข้ามแม้แต่หม้อหุงข้าว ซึ่งเราคาดไม่ถึงว่าจะมีความสำคัญมากขนาดที่จะทำให้เด็กคนหนึ่งต้องอดข้าวเช้าในบางครั้ง เพราะข้าวสุกไม่ทันก่อนไปโรงเรียน” สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นความไม่เท่าเทียมความทุกข์ยากในสังคมของเรา ที่ยังมีอีกหลายครอบครัวที่ยังรอคอยความหวัง ยิ่งทำให้พวกเราเจ้าหน้าที่ ซี.ซี.เอฟ. จังหวัดบุรีรัมย์มีพลังกายพลังใจในการทำงาน เพื่อให้สังคมที่เราอยู่ดีขึ้นกว่านี้ได้ นี่แหละที่เขาเรียกว่า สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่าการให้ดีต่อใจ สุขใจทั้งผู้ให้และผู้รับ ทำให้ตอนนี้น้องฝนได้กินข้าวเช้าก่อนไปโรงเรียนทุกวัน ไม่ต้องทนหิวอีกแล้ว