ในวาระมหามงคล สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมพรรษา 60 พรรษา ในปี 2558 นี้ มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. ซึ่งทรงรับไว้ในพระราชูปถัมภ์ มุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือเด็กยากไร้ 6,000 คน ให้รอดพ้นจากความยากจน ด้วยการมอบโอกาสทางการศึกษาและสุขภาพที่แข็งแรงให้แก่พวกเขา
เพียง "หนึ่งการให้" สร้างได้ถึง "สามความสุขใจ"
- หนึ่ง คือ ความสุขใจที่ท่านได้ถวายราชสักการะด้วยการมอบชีวิตใหม่ให้เด็กยากไร้ขัดสน ได้ไปโรงเรียน มีอาหารกินอิ่มท้อง เพื่อเติบโตเป็นคนดีและเป็นกำลังของชาติบ้านเมือง จะมีสิ่งใดที่ทำให้พระองค์พอพระราชหฤทัยได้มากไปกว่านี้
- สอง คือ ความสุขใจของท่านที่จะเป็นผู้หนึ่งซึ่งได้เดินตามรอยพระยุคลบาท "นางฟ้า" ผู้เป็นแบบอย่างแห่งความเมตตา ด้วยการแสดงความเอื้ออาทรมอบอนาคตสดใสให้เด็กด้อยโอกาสรอดพ้นความยากจน
- และสาม คือ ความสุขใจของเด็กยากไร้ เช่น "วิภาวี" ผู้ทนทุกข์เพราะความอดอยากบีบบังคับให้เธอกับพี่สาวต้องไปรับจ้างเกี่ยวข้าวจนมือแตกพุพองเพื่อหาเงินเป็นค่าอาหารและใช้จ่ายในบ้าน
ไม่มี "นางฟ้า" มีแต่ความทุกข์ระทมและการรอคอยอย่างสิ้นหวัง
แทบเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ในวันนี้บ้านเมืองที่แสนจะพัฒนาก้าวหน้าของเรา ยังมีเด็กยากไร้อีกหลายพันคนที่ต้องอดมื้อกินมื้อทำงานแลกเศษเงินประทังชีวิต "วิภาวี" เด็กหญิงวัย 10 ขวบจาก จ.น่าน เป็นหนึ่งในนั้น พ่อซึ่งเป็นหลักของครอบครัวถูกรถชนตายตั้งแต่เธออายุ 4 ขวบ ทั้งบ้านไม่มีรูปพ่อสักใบเดียวและเธอแทบจำหน้าพ่อไม่ได้ สิ่งเดียวที่เธอรู้จักคือความอัตคัดขัดสน เพราะครอบครัวเธอไม่มีที่ทำกินเป็นเรื่องเป็นราว ได้แต่อาศัยพื้นที่เชิงเขาปลูกข้าวไร่ไว้กินเองซึ่งก็ไม่เคยพอสำหรับแม่และลูกๆ อีกสี่ชีวิต พี่ชายของเธอพยายามรับหน้าที่แทนพ่อด้วยการออกจากโรงเรียนไปหารับจ้างต่างถิ่น พอมีรายได้เล็กๆ น้อยๆ ส่งกลับมาให้แม่และน้อง แม่ของวิภาวีไม่รู้หนังสือเลย สติก็ไม่ค่อยสมประกอบ แต่ก็ปากกัดตีนถีบไปรับจ้างทุกอย่างโดยไม่เลือกงานเพื่อส่งเสียให้ลูกๆ เรียนหนังสือ แม้กระนั้นก็ยังเอาตัวไม่รอด พี่สาวคนโตทนดูความสิ้นหวังของครอบครัวไม่ได้ เธอตัดสินใจเลิกเรียน ป.5 ตอนอายุ 12 ปี และไปแต่งงานกับผู้ชายบ้านใกล้ๆ แลกตัวเองกับที่ดินทำกินของเขา เพื่อให้แม่กับน้องๆ อดอยากน้อยลงบ้าง
ชีวิตของวิภาวีไม่เคยหยุดระทมทุกข์ วันนี้...เธอกับพี่สาวอีกคนที่อายุไล่เลี่ยกันเป็นกำลังหลักของแม่ซึ่งเจ็บป่วยบ่อยๆ ทั้งสองต้องไปรับจ้างเกี่ยวข้าวเพื่อหาเงินมาใช้จ่ายในบ้าน เธอต้องเดินออกจากบ้านตั้งแต่ 6 โมงเช้ากว่าจะถึงไร่ข้าวก็ 8 โมง และต้องทำงานไม่หยุดจนถึง 4 โมงเย็นเพื่อแลกกับค่าจ้างวันละ 150 บาท แต่งานเกี่ยวข้าวก็มีเพียงปีละครั้ง อีกงานหนึ่งที่วิภาวีพอทำได้คือไปตัดดอกหญ้าในป่ามาตากแห้งทำไม้กวาด กว่าจะได้ครบหนึ่งกิโลกรัมก็แสนเหน็ดเหนื่อยและโดนใบหญ้าบาดจนแสบคัน แต่วิภาวีก็ไม่ปริปากแม้จะขายได้เงินเพียงกิโลละ 20 บาท มีบ่อยครั้งที่เธอขออนุญาตครูหยุดเรียนเพื่อไปเกี่ยวข้าวหรือไปตัดดอกหญ้า เพราะนี่เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ครอบครัวอยู่รอด
ดูเหมือนวิภาวีจะไม่เคยรู้จักว่าความสุขของเด็กๆ วัยสิบปีคืออะไร เพราะเมื่อเธอถูกถามว่า อยากจะขอพรอะไรจากนางฟ้า?ไม่ใช่ของเล่น ของกิน หรือ เสื้อผ้าใหม่อย่างที่ดิฉันคาด เธอเงียบอยู่นานกว่าจะกระซิบเบาๆ ว่า "หนูขอให้แม่หายป่วย"
"ท่าน" คือ นางฟ้าที่แท้จริง โปรดให้พรแก่เด็กน้อยผู้ทนทุกข์ด้วยการอุปการะเด็กสักคน...วันนี้
เพียง 20 บาทต่อวัน หรือ 600 บาทต่อเดือน ก็สามารถดลบันดาลให้เด็กสักคนมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ พวกเขาจะได้ไปโรงเรียน ได้รับการดูแลสุขภาพ และได้รับการฝึกฝนทักษะที่จะช่วยให้หลีกเลี่ยงสิ่งเสพติดและรู้จักทำงานหาเลี้ยงชีพได้ หนึ่ง "การให้" ของท่าน...วันนี้ จะสร้างได้ถึง "สามความสุขใจ" จะเกิดขึ้นวันนี้ เด็กยากไร้กำลังรอคอยใครบางคนที่ใส่ใจเช่นท่าน หยิบยื่น "พรแห่งการอุปการะเด็ก" ให้แก่เขา