ทางสายเปลี่ยวใน อ.สุคิริน จ.นราธิวาส ผ่านเส้นทางที่เคี้ยวคด ลัดเลาะไปตามป่าเขา สองข้างทางรกรุงรังไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า ป่ายาง แทบจะไม่มีการสัญจรของผู้คน นานๆ ถึงจะมีรถยนต์หรือมอเตอร์ไซด์ผ่านมาสักคัน เมื่อรถของผมขับผ่านจุดตรวจของทหารทำให้ผมนึกตั้งคำถามว่า นี่บ้านเราหรือเปล่า? ทำไมถึงมีบังเกอร์หนาแน่น มีทหารถือปืนอาวุธครบมือ รถหุ้มเกราะจอดเทียบเคียงกับจุดตรวจพร้อมออกไปรบ ประดุจดั่งอยู่ในสงคราม
เมื่อถึง โรงเรียนบ้านน้ำใส ผมได้มีโอกาสทักทายและพูดคุยกับเด็กๆ ในโรงเรียน ประโยคแรกที่ผมทักทายกับน้องๆ "สวัสดีครับ" มีเพียงการมองหน้าเป็นปฏิกิริยาตอบกลับจากน้องๆ และไม่มีการเอื้อนเอ่ยทักทายหรือการพูดจาใดๆ ตอบกลับมาเลย เหมือนกับว่าเราเป็นคนแปลกหน้าจากคนละประเทศหรือสื่อสารกันคนละภาษาไม่มีผิด
จนเมื่อมีคุณครูเดินเข้ามาทักทายผมจึงได้คำตอบจากคุณครูว่า "เด็กนักเรียนที่นี่ก็เป็นอย่างนี้ หากมีคนแปลกหน้าเข้ามาก็จะไม่พูดคุยด้วย เพราะเขาไม่ไว้วางใจว่าเรามาทำอะไร และอีกเหตุผลหนึ่งเขาไม่ถนัดในการสื่อสารภาษาไทย ส่วนมากเด็กๆ จะใช้ภาษายาวีเป็นหลักในการสื่อสารกับคนในท้องถิ่น" ผมจึงได้เข้าใจว่าทำไมเด็กๆ ถึงได้นิ่งเฉยแบบนั้น
การเดินทางของในครั้งนี้ เป็นการเดินทางไปเพื่อมอบทุนการศึกษาให้เด็กๆ ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ และประชุมหาความร่วมมือใน โครงการคืนรอยยิ้มสู่เด็กชายแดนใต้ ซึ่ง โรงเรียนบ้านน้ำใส ก็เป็น 1 ในโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบในสถานการณ์ปัญหาชายแดนใต้ด้วย ผมคิดว่าครั้งต่อไปถ้าผมได้เดินทางมาที่นี่อีก ผมก็ยังคงจะทักทายเด็กๆ เหมือนเดิม และคาดหวังว่าจะได้เห็นรอยยิ้มหรือคำทักทายตอบกลับจากเด็กๆ บ้าง
ยังไงๆ พวกเราก็เป็นคน "บ้าน" เมืองเดียวกัน "คนไทย" ด้วยกัน
วีระศักดิ์ พุทธิไสย
ผู้ประสานงานภาค
4 เมษายน 2559