“เมี่ยง” เคียงป่าบ้านสกาด อ.ปัว จ.น่าน
แอ่วดอยสกาด อ.ปัว จ.น่าน ต้องไม่พลาดชิม “เมี่ยง” อีกสิ่งหนึ่งที่มีค่าเหนือกาลเวลาแห่งขุนเขา มรดกวัฒนธรรมอาหารที่ส่งต่อจากบรรพบุรุษสู่ลูกหลานรุ่นปัจจุบัน อัตลักษณ์ของชุมชน ต.สกาด อ.ปัว จ.น่าน
“เมี่ยง”เป็นภาษาถิ่นที่คนในชุมชนใช้เรียก “ใบชา” พันธุ์อัสสัมมีลักษณะใบชาที่ใหญ่กว่าชาสายพันธุ์จีน สามารถเจริญเติบโตได้ดีตามป่าที่มีร่มไม้และแสงแดดผ่านได้ ส่วนมากมักจะพบบนเขตพื้นที่สูงหรือบนดอยต่าง ๆ ในเขตจังหวัดภาคเหนือ ชาวบ้านที่ตำบลสกาดปลูกเมี่ยงเกือบทุกหลังคาเรือนถือเป็นอาชีพที่สร้างรายได้หลักให้คนในชุมชน
“เกิดมาก็อยู่กับเมี่ยง ที่บ้านหนูทำมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายเลย ” น้องแพนเค้ก เด็ก ซี.ซี.เอฟ. และแม่ที่อาศัยอยู่ชุมชนบ้านสกาด พูดพร้อมเล่าถึงวิธีการทำใบเมี่ยงหมักให้ฟังว่า
ขั้นตอนที่ 1 หลังจากที่เก็บใบเมี่ยง (ชา) มาเรียบร้อยแล้ว นำไปล้างน้ำสะอาด หลังจากนั้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ แล้วจึงนำมามัดเป็นกำ ๆ แล้วจึงนำไปนึ่งจนเมี่ยงนุ่ม หมักไว้ประมาณ 1 สัปดาห์
ขั้นตอนที่ 2 นำเมี่ยงที่นึ่งและหมักแล้ว ไปหมักกับน้ำเปล่าผสมเกลือเม็ดประมาณ 1 เดือน ก็สามารถนำไปกินหรือขายได้เลย
“เมี่ยงหมัก” เป็นของว่างเคี้ยวเล่นเพลิน ๆ มีรสชาติเปรี้ยว ๆ ฝาด ๆ คล้ายของมักดองทั่วไป เป็นของกินเล่นก็ได้ ไว้ต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมเยือนก็ดี เวลามีงานสำคัญ งานบุญ ก็มักใช้ต้อนรับแขกที่มาร่วมงาน ใบเมี่ยงสามารถกินเปล่า ๆ หรือจะใส่ไส้ลงไปกินคู่กันด้วยก็ได้ ซึ่งไส้เมี่ยงแบบดั้งเดิมจะใส่เพียงเกลือเม็ดและขิงเท่านั้น แต่ในปัจจุบันก็มีการประยุกต์โดยใส่ทั้งขิงดอง มะพร้าวคั่ว ถั่วลิสงคั่ว ห่อเป็นคำ ๆ ขายแบบเปรี้ยวและแบบหวาน กินได้ทั้งคำไม่ต้องคายกากหรือบ้วนทิ้งเหมือนกินหมาก
นอกจากนี้เมี่ยงยังสามารถนำมาแปรรูปเป็น ชาเมี่ยงไว้สำหรับชงดื่ม เพื่อช่วยรักษาอาการหวัด คัดจมูก ใบเมี่ยงแห้งสามารถนำไปทำหมอนชาขนาดเล็ก ใช้แขวนเพื่อดูดกลิ่นอับในตู้เสื้อผ้าหรือใส่ในตู้เย็นก็ได้ เรียกว่าขายได้ทั้งสด หมักและแปรรูปเป็นแหล่งอาชีพสร้างรายได้หาเลี้ยงคนในพื้นที่ปลูกเมี่ยงมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้อย่างยั่งยืน